วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

USB กับ Wireless USB กันก่อน

“ชีวิตไร้สาย-ไร้ขีดจำกัด กับ Wireless USB”
ก่อนอื่นเรามารู้จักกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อพัฒนามาตรฐาน USB  ซึ่งมีชื่อว่า The USB Implementers Forum หรือ (USB-IF) โดยจัดอยู่ในประเภทหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรที่จะค่อยส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเกี่ยวกับ USB ทั้งนี้ กลุ่ม USB-IF นี้ประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น Apple Computer, Hewlett-Packard, NEC, Microsoft, Intel, and Agere Systems และปัจจุบันได้มีอีกหลายๆหน่วยงานเข้ามาร่วมด้วย
และแล้ว USB-IF ก็ได้มีการพัฒนา USB ให้ก้าวย่างเข้าสู่ยุคไร้สายจนเกิดเป็น “Wireless USB” หรือ WUSB ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบแรกที่สามารถทำงานรวมกับระบบเดิม หรือ USB แบบธรรมดาได้ โดยยอมให้ผู้ใช้สามารถเชื่อต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 127 ชิ้น โดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลถึง 480Mbps ที่รัศมี 4 เมตร และความเร็วจะต่ำลงจนเหลือประมาณ 110Mbps หากมีการวางอุปกรณ์เลยห่างออกไปจนถึงประมาณ 10 เมตร จึงนับได้ว่าเป็นความก้าวหน้ามาแรงที่จะช่วยทำให้เราเกิดความสะดวกสบายและไม่ต้องรำคาญกับสายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เกะกะอีกต่อไป

USB กับ Wireless USB เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

USB

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า USB นับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาล ทั้งในคอมพิวเตอร์ PC เครื่อง Mac และคอมพิวเตอร์ Notebook ซึ่งในปัจจุบันมี port USB ในเมนบอร์ดแทบทุกยี่ห้อ เนื่องจากการใช้งาน USB นั้นสะดวกกว่า Port อื่นๆในอดีต ทั้งในเรื่องของ hot-swapped, ความเร็ว และรวมถึงลักษณะ port ที่ใส่ง่าย มีความสามารถรองรับ Plug & Play ทำให้ USB จึงเป็นเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จจอย่างมาก

USB ย่อมาจาก (Universal Serial BUS)ได้ถูกพัฒนาโดย COMPAQ, Digital Equipment (รวมกิจการกับ COMPAQ), IBM, Intel, Microsoft, NEC และ Northern Telecom. เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงานของพอร์ตอนุกรม เป็นอินเตอร์เฟสที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ I/O กับคอมพิวเตอร์

โดยความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลนั้นมีดังนี้
USB 1.1 จะมีความเร็วอยู่ที่ 12 Mbps

USB 2.0 นั้น รองรับระดับการรับส่งข้อมูลได้ถึง 3 ระดับ คือ
                   
ความเร็ว 1.5 Mbps ( Low Speed ) สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลคราวละมากๆ

ความเร็ว 12 Mbps ( Full Speed ) สำหรับการเชื่อมต่อกับ USB 1.1

ความเร็ว 480 Mbps ( Hi-Speed ) สำหรับการเชื่อมต่อกับ USB 2.0 ด้วยกัน

ซึ่งลักษณะของการทำงานของหัวต่อทั้งสองแบบมีดังนี้
แบบ A จะเป็นการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ไปยังเครื่อง Computer เพื่อการประมวล เรียกว่า UpStream แบบ B จะกลับกันคือจะส่งข้อมูลเข้าหาอุปกรณ์ เรียกว่า DownStream

Wireless USB (WUSB)

Wireless USB (WUSB) ก็เกิดจากแนวคิด และใช้พื้นฐานเดียวกับ USB แต่พัฒนาให้เป็นแบบการสื่อสารไร้สาย ซึ่งเป้าหมายหลักๆก็เหมือนเช่นเดียวกันกับ USB คือ ใช้กับ PC และอุปกรณ์ต่อพ่วงรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกทำมาใช้เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายที่มีชื่อเรียกว่า อัลตราไวด์แบนด์ หรือ ultrawideband (UWB) โดยเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูง ปลอดภัยและมีความเสถียร โดยมีระบบเชื่อมต่อไกลถึง 10 เมตร คลื่นความถี่วิทยุของ UWB จะอยู่ในช่วง 3.1 ถึง 10.6GHz ซึ่งยากต่อการรบกวน ดังนั้นอุปกรณ์ Wireless USB จึงไม่ถูกรบกวนจากเทคโนโลยีไร้สายอื่นๆ เช่น Wi-Fi, บลูทูธ, โทรศัพท์ไร้สายหรือแม้แต่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ
        ทั้งนี้ ข้อดีหลักของ Wireless USB คือการเชื่อมต่อโดยปราศจากข้อจำกัดในเรื่องการต่อสาย จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC หรือ Notebook โดยไม่จำเป็นที่ไม่มีสายอีกต่อไป เช่น เชื่อมต่อระหว่าง PC กับเครื่องพรินเตอร์ กล้องดิจิตอล เครื่องเล่นMP3 เป็นต้น และด้วยคุณสมบัติที่มีรัศมีทำการไกลสุดอยู่ที่ 30 ฟุต ทำให้เกินการยืดหยุ่นในการใช้งานในลักษณะแบบ Wireless ให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
ความสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไร้สาย

อ้างอิงarnon

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

                                       

                  Case เคส กล่องใส่ ตู้ CPU คืออะไร

   
                     
     Case คือกล่องที่เอาไว้สำหรับในเมนบอร์ด พาวเวอร์ซับพลาย ฮาร์ตดิส ตัวอ่าน CD/DVD และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เคสนั้นมีหลากหลายขนาด หลายสี บางแบบก็มีไฟสวยงามให้ดูดีมีระดับ ในเคสแต่ละตัวก็จะมีพัดลมติดมาให้แล้ว จำนวนของพัดลมนั้นไม่เท่ากัน บางเคสมี 2 ตัวบางเคสมี 3 ตัว ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ นั้นต้องการพลังงานไฟฟ้าสูง โดยเฉพาะเครื่องสำหรับนักเล่นเกมส์ หรือโปรแกรมเมอร์ที่ทำงานด้านกราฟฟิก 3มิติ ที่ต้องใช้ความเร็วในการประมวลผลสูง


    ดังนั้นการเลือกเคสจึงต้องดูด้วยว่าแหล่งจ่ายไฟ Power Supply นั้นเพียงพอต่อความต้องการของคอมพิวเตอร์รึป่าว เคสมาตรฐาน ATX [ Advance Technology Extended] เป็นเคสที่นิยมในปัจจุบันพัฒนาต่อมาจาก Baby AT จุดเด่นของ ATX คือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหัวต่อต่าง ๆ เอาไปไว้ด้านหลังเพื่อความเป็นสะดวกง่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ


    และยังออกแบบหัวต่อแหล่งจ่ายไฟของเมนบอร์ดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน มาตรฐาน Soft Start และ Soft Off คือคุณสมบัติที่สามารถใช้โปรแกรมหรือ Bios ควบคุมการเปิดปิดคอมพิวเตอร์ได้ เคส ATX ไดรส์จะติดตั้งด้านหน้าตามปกติ หัวต่อของอุปกรณ์ก็ตจะเรียงกันตามช่องของเคสที่ออกแบบเอาไว้แล้ว เพื่อความสะดวกในการเชื่อมต่ออุปกรณ์


     เคสที่ดีดูยังไง ? การเลือกเคส ขอบของเคสต้องมีการลบคมออกหมดแล้วจะได้ไม่บาดมือเวลาเราติดตั้งอุปกรณ์อะไรลงไป ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกับขนาดของเมนบอร์ดที่จะใช้ร่วมกัน เคสต้องออกแบบมาให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ต้องมีช่องสำหรับพัดลมอย่างน้อย 2 ช่อง ด้านหน้าและหลัง ด้านหน้าของเคสควรจะมี Port USB ช่องเสียงลำโพง หูฟัง มาให้ด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้งานเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือและต้องทำจากพลาสติกเพื่อป้องกันไฟดูด ช่องสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องออกแบบมาให้พอดีเหมาะสมในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องตรงไม่เบี้ยว ใส่อุปกรณ์แล้วต้องแน่นลงล็อกพอดี

ที่มา : mantiser